“ญี่ปุ่น” ดินแดนในฝันของใครหลายคน แรงบันดาลใจจากภาพวาด ภาพโปสการ์ดที่สวยงาม เรียกร้องความต้องการให้ไปเยี่ยมเยือนสักครั้งในชีวิต เวลาพร้อม งบประมาณพร้อม แต่ธรรมชาติอันสวยงามของญี่ปุ่นอาจคลาดเคลื่อนกัน งั้นนี่เลย “20 ที่เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวได้ตลอดปี” จัดไปแบบจุใจ เพื่อที่จะได้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น จะได้ท่องญี่ปุ่นได้สมใจเสียที
20 ที่เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวได้ตลอดปี ไม่มีเบื่อแน่นอน
เริ่มต้นทริปญี่ปุ่นด้วยความสะดวกสบาย เพราะเรียกรถรับส่งสนามบินมารับตั้งแต่ที่บ้าน จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรียกรถ และมั่นใจได้ว่าจะไปถึงสนามบินได้ถึงทันเวลาจริงๆ แนะนำใครสนใจจองรถรับส่งสนามบินล่วงหน้าก่อน 24 ชั่วโมงกับ Traveloka คลิกที่นี่ > https://www.traveloka.com/th-th/airport-transfer สะดวกสบายอย่างที่สอง ด้วยการจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นกับ Traveloka มีให้เลือกทั้งสายการบินแบบโลวคอร์ส และฟูลเซอร์วิส แนะนำไม่อยากเสียค่าน้ำหนักกระเป๋าโหลดเพิ่ม ให้จองแบบฟูลเซอร์วิสไปได้เลย ทางไปจอง > https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-japan
- อุทยานแห่งชาติคุชิโระชิสึเงน (Kushiro Shitsugen National Park)
“อุทยานแห่งชาติคุชิโระชิสึเงน” หรือ “อุทยานนกกระเรียนเต้นระบำ” ตั้งอยู่ระหว่างเมืองคุชิโระและอุทยานแห่งชาติอะกัง ในฮอกไกโดตะวันออก เป็นศูนย์อนุรักษ์สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ของญี่ปุ่น ชมธรรมชาติ และมีเส้นทางเดินป่าที่สามารถชมนกกระเรียนมงกุฎแดงได้ตลอดทั้งปี นกกระเรียนพันธุ์นี้เคยถูกล่าอย่างหนักจนสูญพันธุ์มาแล้วตั้งแต่ปี 1926 ภายหลังได้รับการดูแลและขยายพันธุ์ จนกระทั่งมีนกระเรียนมากกว่า 1,000 ตัว ฤดูหนาวเป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ นกกระเรียนที่อพยพหนีหนาวมาอาศัยอยู่ที่นี่จะจับคู่เต้นระบำเกี้ยวพาราสีกัน เป็นบรรยากาศที่แสนโรแมนติกแบบเย็นยะเยือก ภายในอุทยานมีหลายจุดที่น่าสนใจ เช่น “ศูนย์นกกระเรียนนานาชาติอะกัง” เป็นพิพิธภัณฑ์ ศูนย์เพาะพันธุ์ และที่อยู่อาศัยของนกกระเรียน ที่นักท่องเที่ยวจะเห็นได้ตลอดทั้งปี พร้อมทั้งมีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติของสัตว์ และระบบนิเวศน์ จุดชมวิวคุชิโระ หอชมวิวแห่งนี้เชื่อมต่อกับ Kushiro Shitsugen Viewpoint ในอาคารมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับที่ราบลุ่มโดยรอบ
2. ทะเลสาบโทยะ (Lake Toya)
“ทะเลสาบโทยะ” เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ในเมืองโทยะที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญของฮอกไกโด เป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟ มีเส้นรอบวงประมาณ 40 กิโลเมตร จุดชมวิวที่ชมทะเลสาบโทยะได้สวยงามที่สุด คือจุดชมวิวไซโล ชมวิวได้ 360 องศา สามารถมองเห็นภูเขาน้อยใหญ่มากมาย เกาะนาคาจิมะ เขาอุสุ เขาโชวะชินซัง ย่านโทยะโกะออนเซ็น รวมไปถึงปากปล่องภูเขาไฟนิชิยามะ นอกจากนั้นยังมีไฮท์ไลท์ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากที่สุด นั่นก็คือชมทิวทัศน์ที่สวยงามของเขาโยเท ถูกเรียกขานว่า “ภูเขาฟูจิแห่งเอโซะทางทิศตะวันตก” รวมถึงเขารุซุตสึชิริเบ็ตสึ และภูเขาน้อยใหญ่อื่นๆ ทะเลสาบแห่งนี้มีความพิเศษตรงที่ น้ำจะไม่แข็งตัวในช่วงฤดูหนาว ส่วนในฤดูร้อนอากาศเย็นสบาย สามารถไปเดินเล่นชมวิว หรือปั่นจักรยานเพื่อชมวิวสวยๆ รวมถึงการล่องเรือชมวิวได้ด้วย ในช่วงประมาณเดือนเมษายน–ปลายเดือนตุลาคม จะมีการจุดพลุในเวลา 20:45 ของทุกๆ คืน บริเวณรอบๆ ทะเลสาบ มีโรงแรมหรูเรียงรายมากมาย และเกือบทั้งหมดให้บริการออนเซน สามารถเลือกเข้าพักได้ตามอัธยาศัย
3. ภูเขาทาคาโอะ (Takao Mountain)
“ภูเขาทาคาโอะ” ถึงแม้จะอยู่ใกล้เมืองใหญ่อย่างโตเกียว สถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสีเขียวของธรรมชาติ ที่นี่มีการตัดเส้นทางไว้สำหรับปีนเขา เพื่อให้นักปีนเขามือใหม่และมืออาชีพสามารถเพลิดเพลินกับการปีนเขา ตลอดปีมีนักท่องเที่ยวและนักปีนเขาหลายพันคนแวะมาประลองฝีมือ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 3 ดาว ในหนังสือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวมิเชลลินอีกด้วย ระหว่างทางขึ้นสู่ยอดเขามีวัดยาโอคุโออิน” ให้แวะสักการะขอพร จากสถานีเคเบิ้ลคาร์ด้านบน มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเมืองโตเกียวทั้งหมด รวมไปถึงยอดภูเขาไฟฟูจิในวันฟ้าโปร่ง เป็นจุดชมดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิประมาณกลางเดือนเมษายน และชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามได้ในฤดูใบไม้ร่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนอีกด้วย ในช่วงเทศกาลปีใหม่ คนญี่ปุ่นมักมาชมพระอาทิตย์ขึ้น เพราะคนญี่ปุ่นถือว่า แสงแรกของปีนั้นเป็นสิ่งมงคล
4. ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine)
“ศาลเจ้าเมจิ” ตั้งอยู่ในเขตชิบูย่าใกล้ย่านฮาราจูกุในกรุงโตเกียว สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ดวงวิญญาณของสมเด็จพระจักพรรดิเมจิ และสมเด็จพระจักพรรดินีโชเก็ง มีความงดงามตามแบบฉบับศาลเจ้าของชินโต ทางเดินที่มาบรรจบกันระหว่างไปนมัสการศาลเจ้าของทางเดินฝั่งเหนือและใต้นั้น จะมีสัญลักษณ์ของศาลเจ้าเมจิ ซึ่งก็คือ โทริอิที่ทำจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (เสาประตูทางเข้าศาลเจ้า) ชาวญี่ปุ่นนิยมมาขอพรมากที่สุดในช่วงวันปีใหม่ ขึ้นชื่อในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องรางแห่งความรัก ดังนั้นบรรดาคู่รักจึงนิยมจัดงานแต่งตามแบบฉบับญี่ปุ่นโบราณที่ศาลแห่งนี้ จุดเด่นของที่นี่คือมีจำนวนต้นไม้ทั้งหมดกว่าหนึ่งแสนต้น มีพันธุ์ไม้กว่า 365 ชนิด ให้บรรยากาศร่มรื่นและสงบ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็จะยิ่งเพิ่มความสวยงามให้กับศาลเจ้าแห่งนี้มากยิ่งขึ้น นอกจากจะมีเส้นทางเดินชมความงามธรรมชาติแล้ว ยังมีบ่อน้ำร้อนธรรมชาติให้ได้ชมอีกด้วย
5. วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple)
“วัดเซนโซจิ” หรือ “วัดโคมแดง” เป็นวัดชื่อดังที่สุดของเมืองโตเกียว อยู่ที่ย่านอาสากุซะ มีถนนนากามิเสะที่เป็นถนนยาวเข้าสู่พื้นที่ภายในวัดที่จะเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย วัดที่ขึ้นชื่อว่าเก่าแก่มากที่สุดของเมืองโตเกียวแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเสร็จเมื่อประมาณปี ค.ศ. 645 จุดเด่นของวัดอาซากุสะคือ “โคมแดง” ขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่บริเวณประตูคามินาริมง สองฝั่งของประตูมีรูปปั้นเทพเจ้าแห่งลมและสายฟ้า หรือที่เรียกว่า “ฟูจิน” เทพวายุ และไรจิน “เทพอัสนี” ประดิษฐานอยู่ ภายในวัดอาซากุสะจะมีการสักการะเทพเจ้าคันนงโดยการรดน้ำ และตรงกลางวัดจะมีกระถางธูปขนาดใหญ่ ซึ่งมีความเชื่อว่า ถ้าผู้ใดได้รับควันธูปจากกระถางธูปนี้ จะโชคดีมีสุข นอกจากนี้ยังมีการทำบุญไหว้พระด้วยการโยนเหรียญลงในกล่อง และการเสี่ยงเซียมซีที่ วัดอาซากุสะยังมีสถานที่อื่นๆ ให้เที่ยวชมด้วย เช่น เจดีย์ 5 ชั้น ศาลเจ้าอาซากุสะ สวนญี่ปุ่นที่สวยงาม เป็นต้น
6.โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree)
“โตเกียวสกายทรี” แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงโตเกียว สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นโดยมีความสูง 634 เมตร สูงเป็นอันดับสองของโลกรองจาก “ตึกเบิร์จคาลิฟา” ในดูไบ ซึ่งมีความสูงถึง 828 เมตร โตเกียวสกายทรีสร้างขึ้นเพื่อเป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์และวิทยุในระบบดิจิตอล จุดชุมวิวแบ่งได้ 2 ระดับความสูง คือ จุดชมวิวที่ความสูง 350 เมตรและ 450 เมตร จุดชมวิวด้านบนนี้มีสกายวอล์คที่มีโครงสร้างเป็นเหล็กและคลุมด้วยแก้ว มีคาเฟ่ ร้านค้า และมี Tembo Galleria ซึ่งเป็นสกายวอล์คที่สูงที่สุดในโลก และยังมีลานชมวิว Tembo Deck ที่ครอบคลุมถึง 3 ชั้น ชมวิว 360 องศารอบทิศทาง ส่วนฐานของโตเกียวสกายทรีก็ยังมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “โตเกียวโซลามาจิ” ภายในศูนย์การค้าแห่งนี้มีท้องฟ้าจำลอง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำซุมิดะ รวมถึงร้านค้าและร้านอาหารกว่า 300 แห่ง มีระบบการจองตั๋วเข้าชมผ่านเว็บไซต์ www.tokyo-skytree.jp/en
7. นิกโกะ (Nikko)
“นิกโกะ” ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 140 กิโลเมตร มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,200 ปี มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความสวยงามของวัดและศาลเจ้าต่างๆ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เช่น ศาลเจ้าโทโชกุ วัดรินโนจิ และวัดไทยูอิน อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสุสานของ “โชกุนโทกูงาวะ อิเอยาซุ” คนแรกของสมัยเอโดะ นอกจากนี้ยังมีที่เที่ยวอีกมากมาย เช่น อุทยานแห่งชาติโอคุนิกโก นิกโกออนเซ็น สวนสนุกเอโดะ ทะเลสาบชูเซนจิ น้ำตกเคงอน น้ำตกริวซู ภูเขาฮันเกะสึยามะ ทุ่งเซนโจงาฮาระ และที่ราบสูงอาเคจิไดระ ชมบ้านเมืองเก่าที่โทโมซาวะ อิมพีเรียล วิลล่า และ สะพานชินเคียว 1 ใน 3 สะพานที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น และด้วยความที่นิกโกะยังอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว จึงได้รับความนิยมในการท่องเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ
8. ภูเขาไฟฟูจิ (Fuji Mountain)
“ภูเขาไฟฟูจิ” สัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น และเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วย บริเวณอันกว้างใหญ่ของภูเขาไฟฟูจิ ตั้งอยู่ในเขตชูบุ รายล้อมไปด้วยทะเลสาบทั้ง 5 ได้แก่ คาวากูจิโกะ, ไซโกะ, ยามานาคาโกะ, โชจิโกะ และ โมโตซูโกะโดยจากทะเลสาบแต่ละแห่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาไฟฟูจิในระยะใกล้ และยังเป็นจุดเริ่มต้นการปีนภูเขาไฟฟูจิที่ดีอีกด้วย โดยจุดชมวิวบริเวณทะเลสาบคาวากูชิ สามารถชมทิวทัศน์ของภูเขาไฟฟูจิงดงามที่สุด บริเวณรอบๆ จะมีรีสอร์ท พื้นที่ตั้งแคมป์ จุดตกปลา สกีในฤดูหนาว ออนเซน และพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมี Fuji Q Highland สวนสนุกที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยเฉพาะเครื่องเล่นโรลเลอร์คอสเตอร์ และบ้านผีสิงอีกด้วย และรอบๆ ภูเขาเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็นที่ตั้งอุทยานแห่งชาติฟูจิฮาโกะเนอิซึ ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ของทุกปี เป็นช่วงฤดูกาลปีนภูเขาฟูจิ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักทั้งกลางวันกลางคืน มีที่พักแรม เส้นทางเดินเท้าที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวช่างภาพและศิลปินวาดภาพ ที่ต่างมุ่งมั่นเดินทางในตอนกลางคืน เพื่อให้ถึงยอดเขาเพื่อรับแสงอรุณบนยอดเขา ใครรักการผจญภัยชอบสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติห้ามพลาด
9. ทาคายามะ Takayama
“เมืองทาคายามะ” หรือที่ใครๆ เรียกว่า “ฮิดะ ทาคายามะ” ดินแดนในอ้อมกอดแห่งขุนเขาในตอนเหนือของจังหวัดกิฟุ โดดเด่นด้านขนบธรรมเนียมและวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ภายในเมืองยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแบบยุคสมัยก่อนๆ
บ้านโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์มาตั้งแต่สมัยอดีตยังคงมีให้เห็น ย่านเมืองเก่าของทาคายามะนั้น ยังคงเต็มไปด้วยบ้านเรือนและคฤหาสน์ของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์อายุเก่าแก่ยาวนานกว่า 100 ปี รวมถึง “คฤหาสน์ตระกูลโยชิจิมะ” แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังด้วย เมืองเก่าแห่งนี้มีเอกลักษณ์อยู่ที่หมู่บ้านโบราณสมัยเอโดะ ที่ถูกเรียกว่า “ฮิดะ ลิตเติ้ลเกียวโต” อาคารบ้านเรือนที่สวยงามเก่าแก่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก ยังคงอนุรักษ์ความดั้งเดิมไว้อย่างดี ตามถนนหนทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์ชื่อดังของท้องถิ่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสาเกญี่ปุ่นหรือมิโซะ รวมถึงบ้านเรือนเก่าแก่ที่นำมาดัดแปลงเป็นคาเฟ่และร้านอาหารสวยๆ จำนวนมาก ทุกปีเมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ย่านเมืองเก่าแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกวิสทีเรียหรือฟูจิบานสะพรั่ง ให้ได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันงดงามของม่านดอกไม้สีม่วง
10. หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawako)
“หมู่บ้านชิราคาวาโกะ” หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เป็นเมืองที่มีความสวยงามและคลาสิกมากแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ที่เมืองนี้มีหมู่บ้านโบราณที่ยังคงเอกลักษณ์จากอดีตเอาไว้มายาวนานจนถึงปัจจุบัน เป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ “กัตโชทสึคุริ” หลังคามุงด้วยฟางข้าวมีความชันถึง 60 องศา สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี ที่ตั้งเรียงรายอยู่ภายในหมู่บ้าน และบ้านทุกหลังยังมีคนอาศัยอยู่จริง ๆ ซะด้วย แถมบรรยากาศของหมู่บ้านแห่งนี้ก็ดูสวยในทุกฤดู ภายในตัวหมู่บ้านยังมีร้านอาหาร ร้านขายสินค้าที่ระลึกและที่สำคัญยังมีบ้านบางหลังที่เปิดเป็นโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสได้มาเข้าพัก “งานแสดงไฟหมู่บ้านชิราคาวาโกะ” ในช่วงฤดูหนาวคือไฮไลท์ของที่นี่ ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ บ้านแต่ละหลังถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ตัดกับแสงไฟประดับสีเหลืองนวล ทำให้ภาพออกมาสวยงามยิ่งนัด โดยนักท่องเที่ยวจะต้องจองล่วงหน้าทางเว็บไซต์ shirakawa-go.gr.jp เท่านั้น
11. ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle)
“ปราสาทมัตสึโมโตะ” ตั้งอยู่ที่เมืองมัตสึโมโตะ จังหวัดนากาโน่ เป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิมที่ยังสภาพสมบูรณ์และสวยงามที่สุดของประเทศญี่ปุ่น เป็นปราสาทไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น และได้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นสมบัติล้ำค่าประจำชาติ ฉายาว่า “ปราสาทอีกา” ได้มาจากการตัดกันของสีดำและสีขาวของผนังปูนด้านนอกปราสาท ทำให้ปราสาทแห่งนี้ดูโดดเด่นงดงาม โดยมีเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นเป็นฉากหลัง จนได้รับ ปราสาทแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีหอคอยและป้อมปืนเชื่อมต่อกับโครงสร้างอาคารหลัก รวมทั้งภายในตกแต่งด้วยไม้ จุดที่น่าสนใจ ได้แก่ บันไดไม้สูงชัน ช่องเก็บหินสำหรับโจมตีศัตรู ช่องสำหรับธนู และหอสังเกตการณ์บนชั้น 6 ปราสาทมัตสึโมโต้ยังมีศาลาชมดวงจันทร์ที่งดงาม แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของขุนนางในสมัยก่อน ในฤดูใบไม้ผลิบริเวณด้านล่างของปราสาทจะกลับมามีชีวิตชีวาด้วยสีสันของดอกซากุระอีกครั้ง ถือเป็นจุดชมซากุระยอดนิยมแห่งหนึ่ง
12. ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine)
“ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ” หรือ “ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว” ศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเกี่ยวโต สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 794 หรือพันกว่าปีมาแล้ว สร้างขึ้นเพื่อถวายให้แด่เทพเจ้าแห่งการกสิกรรม ชาวญี่ปุ่นโบราณเชื่อว่า เทพเจ้าอินาริ คือเทพเจ้าแห่งความสมบูรณ์ทางผลิตการเกษตร มีสุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย จึงมีรูปปั้นเจ้าสุนัขจิ้งจอกมากมายภายในศาลแห่งนี้ จุดเด่นของศาลนี้อยู่ที่ จากเสาโทริอิสีแดง ที่เรียงรายหลายหมื่นต้นจนกลายเป็นอุโมงค์เสาโทริอิที่ยาวถึง 4 กิโลเมตร บริเวณทางเดินขึ้นเขาทางด้านหลังศาลเจ้า ที่มีความเชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และมีเทพเจ้าอินาริคุ้มครองอยู่ ซึ่งมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย โดยเสาโทริอิสีแดงนั้นก็ล้วนมาจากการบริจาคจากส่วนต่างๆ ทั้งจากบุคคลและองค์กร ตัวอาคารศาลเจ้าเองก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้งประตูโดมอนทางด้านหน้า และตัวอาคารหลักที่เรียกว่า “ฮงเดน” และยังมีส่วนประกอบศาลเจ้าที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง กระจายกันอยู่รอบๆ บริเวณ ทางเดินที่ไปบูชาศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ มีถนนช็อปปิ้งที่เรียงรายกันอยู่ มีตั้งแต่ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าแฟชั่น ของใช้เบ็ดเตล็ดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จนถึงร้านขายของชำ ร้านกาแฟ
13. วัดโทไดจิ (Todaiji Temple)
“วัดโทไดจิ” หรือ วัดหลวงพ่อโตแห่งเมืองนารา” เป็นวัดพุทธที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนารา มีอายุมากกว่า 1,300 ปี สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดนี้ คือ วิหารไม้หลังใหญ่ “ไดบุตสึเดน” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโต (ไดบุตสึ) ขนาดความสูง 15 เมตร องค์พระนั่งแสดงให้เห็นถึงพระไวโรจนะ ประกบด้วยพระโพธิสัตว์ 2 รูป ว่ากันว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าวิหารไม้ที่เห็นในปัจจุบันนี้มีขนาดเพียงแค่ 2 ใน 3 ของวิหารหลังเดิมที่เคยถูกไฟไหม้ไปจากภัยสงคราม แต่ก็ยังคงมีความยิ่งใหญ่จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือเสาที่มีรูซึ่งเป็นเสาหลักในพระอุโบสถ มีความเชื่อที่ว่าหากใครที่ได้ลอดรูจากเสาต้นนี้ ชีวิตในชาติหน้าของพวกเขานั้นจะได้ตรัสรู้ “นันไดมง” ซุ้มประตูไม้ขนาดใหญ่ ก่อนจะเดินทางเข้าสู่ตัววัด มีสถาปัตยกรรมแบบจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง สร้างด้วยไม้ซุงขนาดยักษ์ถึง 18 ต้น ด้านหน้าของวิหารหลวงพ่อโต มีตะเกียงสำริด 8 เหลี่ยมตั้งอยู่โดดเด่นกลางลานหน้าวิหาร ตะเกียงนี้มีอายุใกล้เคียงกันหรือเท่ากับอายุของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ลวดลายสลักที่ตะเกียงเป็นรูปของเหล่าคนธรรพ์ขับกล่อมดนตรีอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเครื่องดนตรีในยุคเมื่อ 1,200 ปีก่อน บริเวณทางเดินเข้าสู่ประตูใหญ่ของวัดโทไดจิเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกมากมายให้เลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน และมีกวางน้อยฝูงใหญ่เดินทักทายขอขนมผู้มาเยือนแบบใกล้ชิดติดตัวเลยทีเดียว
14. น้ำตกนะชิ (Nachi Fall)
“น้ำตกนะชิ” เป็น1 ใน 3 น้ำตกชื่อดังของญี่ปุ่น แห่งเมืองคัตสึอุระ จังหวัดวะกะยะมะ ตั้งอยู่เขตพื้นที่ป่าบนเขานะชิซัง ซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกโลก เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น สูงถึง 133 เมตรที่ไหลต่อเนื่องชั้นเดียว เส้นทางเดิน “เขาคุมาโนะโคโด” ที่ใช้เพื่อเดินทางไปยังน้ำตกแห่งนี้ เป็นหนึ่งในเส้นทางแสวงบุญที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก และด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของวัดและศาลเจ้ามากมายในบริเวณนี้ ทำให้มีความเชื่อกันว่าสายน้ำศักดิ์สิทธิ์จากน้ำตกนะชินั้นเป็นยาอายุวัฒนะให้กับผู้ที่ได้ดื่มกินใกล้ กับน้ำตกยังเป็นที่ตั้งของ “วัดเซกันโทจิ” ที่งดงามโดดเด่นด้วยเจดีย์สีแดงสามชั้น ต้นกำเนิดของความเชื่อโบราณที่บูชาน้ำตกนาจิ ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ครึ่งทางของความสูงของภูเขานาชิ โดยสามารถมองเห็นศาลเจ้าชินโตที่ลงรักสีแดงเรียงรายอยู่บนที่สูงที่มองลงไปเห็นทะเลได้ ว่ากันว่าต้นการบูรต้นใหญ่ในเขตศาลเจ้ามีอายุถึง 800 ปี โดยมีอุโมงค์ที่ผู้มาเยือนสามารถลอดข้ามได้ นอกจากนั้นวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี จะมีการจัดงาน “เทศกาลนะชิ โนะ โอกิ” ที่จะมีการจุดคบไฟตรงบริเวณทางเข้าน้ำตกตั้งแต่บ่ายสองโมงเป็นต้นไป เป็นเทศกาลที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมเป็นจำนวนมาก
15. ป่าไผ่ซากาโนะ (Sagano Bamboo Forest)
“ป่าไผ่ซากาโนะ” ที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า “ป่าไผ่อราชิยามะ” เป็นป่าไผ่ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเกียวโต ภายในอุทยานอราชิยามะ ตลอดทางเดินระยะทาง 500 เมตร เต็มไปด้วยต้นไผ่กว่าพันต้นที่เรียงรายกันอย่างสวยงาม ต้นไผ่ของที่นี่เป็นพันธุ์โมโซ ไผ่ลำเดียวที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าต้นไผ่คือผู้ปกป้องวิญญาณชั่วร้าย คนญี่ปุ่นมีความผูกพันยาวนานกับต้นไผ่ จึงมีความเชื่อว่า ต้นไผ่จะทำหน้าที่เหมือนกับเป็นยามคอยดูแลปกป้องในบริเวณวัดนั่นเอง ตอนกลางของป่าจะมี “ศาลเจ้าโนโนมิยะ” ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต ศาลเจ้าท่ามกลางความเงียบสงบของป่าไผ่และต้นไม้อันงดงาม ทางเข้าจะเป็นโทริอิไม้ขนาดย่อมๆ ด้านในมีขายเครื่องรางแห่งความรัก เส้นทางสามารถเดินชมความงามของธรรมชาติ ฟังเสียงเสียดสีของกอไผ่ที่เคล้ากับเสียงลม ตลอดจนสามารถขี่จักรยานเพื่อท่องป่าไผ่ได้ หรือใช้บริการของรถลากโบราณก็ได้ด้วยเช่นกัน
16. ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ (Motonosumi Inari)
“ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ” ตั้งอยู่ในเมืองนากาโตะของจังหวัดยามากูจิ สร้างขึ้นในปี 1955 ผู้ศรัทธาส่วนใหญ่เป็นชาวประมงท้องถิ่น จุดเด่นของศาลเจ้าคือประตูทางเข้ามีโทริอิสีแดง 123 ต้น ที่ตั้งเรียงรายเป็นระยะทางกว่า 100 เมตร ที่นี่ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 31 สถานที่ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวมักมาเดินลอดใต้อุโมงค์เสาโทริอิ พร้อมอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น ขอให้ประกอบธุรกิจสำเร็จ ขอให้เดินทางปลอดภัย รวมไปถึงการขอให้พบเนื้อคู่ และการมีบุตรเป็นต้น เมื่อเดินผ่านเสาโทริอิไปทางมหาสุมทรจะได้พบกับวิวอันสวยงามที่ได้รับการขนานนามว่า “น้ำพุปราสาทมังกร” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากคลื่นกระทบรูตรงหน้าผา ทำให้อากาศถูกบีบอัดและดันน้ำทะเลให้พุ่งลอยขึ้นไปบนอากาศ โดยสามารถพุ่งขึ้นได้สูงสุดถึง 30 เมตร ในช่วงระหว่างฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงฤดูหนาว ที่มาของชื่อวิวนี้มาจากภาพของน้ำทะเลที่พุ่งขึ้นด้านบนนั้นดูคล้ายกับมังกรที่กำลังทะยานขึ้นท้องฟ้านั่นเอง อีกหนึ่งไฮลท์คือ จุดที่ตั้งกล่องรับเงินบริจาคที่ติดไว้ตรงส่วนบนของเสาโทริอิ ซึ่งตั้งอยู่หน้าทางเข้าศาลเจ้า ว่ากันว่าหากคุณสามารถโยนเหรียญลงกล่องทำบุญได้คำอธิษฐานของคุณจะเป็นจริง
17. เนินทรายทตโตะริ (Tottori Sand Dunes)
“เนินทรายทตโตะริ” เป็นเนินทรายที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองทตโตริ ในเขตอุทยานชายทะเลแห่งชาติซันอิน
ทรายบนเนินทรายแห่งนี้มีสีออกเหลืองคล้ำ เพราะเกิดจากเถ้าภูเขาไฟไดเซ็น ซึ่งถูกลมทะเลพัดมากองรวมกันเป็นเวลานับแสนปีจนกลายเป็นเนินทรายกว้างใหญ่และสูงชัน มีความกว้าง 2.4 กิโลเมตรจากเหนือถึงใต้และยาว 16 กิโลเมตรจากตะวันออกถึงตะวันตก ความสูงต่างกันถึง 90 เมตร ชมความงามที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของ “รอยริ้วคลื่น” และ “รอยริ้วคล้ายน้ำไหล” ที่เกิดจากสายลมปะทะกับผืนทราย นอกจากนี้ยังได้ชมทัศนียภาพอันงดงามของทะเลญี่ปุ่นและพระอาทิตย์จากยอดของเนิน ที่ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะทราย” จัดแสดงประติมากรรมทรายขนาดใหญ่สร้างโดยศิลปินจากทั่วโลก ซึ่งจะอยู่หากจากเนินทรายไปไม่มากนัก กิจกรรมไฮไลท์ คือกระดานเลื่อน “Sand Board” เปิดให้เล่นในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤศจิกายน
18. ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ (Itsukushima Shrine)
“ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ” หนึ่งในมรดกโลกที่มีอีกชื่อเรียกว่า “ศาลเจ้าลอยน้ำ” หรือ “โทริอิลอยน้ำ” เป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนเกาะมิยาจิม่า ที่ฮิโรชิม่า ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ เสาโทริอิของศาลเจ้าอิสึกุชิมะ เป็นจุดท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น และทิวทัศน์ของเสาโทริอิสีแดงสูงกว่า 16 เมตร อยู่หน้าภูเขามิเซนบนเกาะ ได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในสามทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่น ตัวเสาทำจากไม้การบูร มีเสาเล็ก ๆ เป็นฐานรองอีก 4 เสา มีความเชื่อว่าเสาโทริอินี้เป็นประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ คอยป้องกันไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายเข้ามาในโลกฝั่งนี้ได้ ในส่วนของศาลเจ้าจะประกอบไปด้วยหลายอาคาร ได้แก่ ห้องโถงใหญ่ หอสวดมนต์และละครเวทีโนห์สำหรับแสดงถวายเทพเจ้า ซึ่งมีการเชื่อมต่อด้วยกันระเบียงทางเดินที่มีเสาโทริอิด้านล่างอยู่ในทะเล เพื่อรับน้ำหนัก ในเวลาที่น้ำขึ้นเสาโทริอิจะดูเหมือนลอยอยู่กลางทะเล เมื่อน้ำลงจะปรากฏให้เห็นพื้นโคลนเลนที่เสาตั้งอยู่ และสามารถเดินเท้าไปจากเกาะได้ การรักษาความสะอาดบริสุทธิ์ในศาลเจ้าถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ภายในศาลเจ้าจะไม่มีการอนุญาตให้มีการเกิดและการตาย แม้จนทุกวันนี้การฝังศพบนเกาะก็ยังเป็นสิ่งต้องห้าม
19. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิ (Okinawa Churaumi Aquarium)
“พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิ” แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอันดับ 1 ของเกาะโอกินาว่า ตั้งอยู่ใน Ocean Expo Park ที่เคยจัดแสดงงานนานาชาติเอ็กซ์โปในปี 1975 เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น มีตู้ปลาขนาดใหญ่ซึ่งเป็น 1 ในแท็งก์น้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งสามารถจุน้ำทะเลได้ถึง 7,500 ลูกบาศก์เมตร ภายในนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตในทะเลแถบโอกินาว่าที่หลากหลาย สัตว์น้ำที่โดดเด่นที่สุดคือฉลามวาฬยักษ์ และกระเบนราหู ในอาคารพิพิธภัณฑ์แยกออกไป 3 ชั้น โดยทางเข้าอยู่บนชั้น 3 และทางออกอยู่ที่ชั้น 1 หลังจากที่นักท่องเที่ยวเข้ามาจะพบกับบ่อน้ำที่อนุญาตให้ทดลองสัมผัสปลาดาว และหอยชนิดต่างๆได้ ถัดไปเป็นแท็งก์น้ำที่จัดแสดงโลกของสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง เมื่อเดินผ่านตู้ปลามาแล้วจะเป็นแท็งก์คุโรชิโอะ ด้านข้างแท็งก์เป็นโรงภาพยนตร์ที่ฉายวีดีโอเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทางทะเลของโอกินาว่า ส่วนนอกตัวอาคารอควาเรียม ยังมีโชว์ปลาโลมาแสนรู้ สระพะยูน สระเต่าทะเล และหาดทรายชื่อดังอย่างหาด Emerald Beach ใกล้ๆ อีกด้วย
20. เกาะอิชิงากิ (Ishigaki Island)
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งสุดท้าย “เกาะอิชิงากิ” เป็นเกาะหลักและเกาะที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะยาเอยาม่า ในจังหวัดโอกินาว่า โด่งดังในเรื่องของหาดทรายสีขาว ทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม ป่าโกงกางจำนวนมาก แหล่งประการังที่หายาก และของอร่อยขึ้นชื่ออย่าง ‘เอยาม่าโซบะ’ จนทำให้ที่นี่ถูกยกย่องเป็นที่เที่ยวที่มาแรงในปี 2018 และถือเป็นสถานที่ยอดนิยมของเหล่านักประดาน้ำทั้งแบบสน็อกเกิ้ล และสกูบ้าไดฟ์ ซึ่งสามารถหาซื้อทัวร์ได้จาบริษัทใกล้ชายหาด นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำอยู่บนเกาะอีกด้วย สามารถเช่าเรือคายัคพายสำรวจธรรมชาติได้ เกาะอิชิงากิเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เพราะมีตลาดเรียงรายกันมากมาย ที่อ่าว “คาบิราวัง” ที่มีเกาะเล็กๆ เหมือนตั้งลอยอยู่กลางอ่าวทะเล ใกล้ๆ กันมีเกาะ “ทาเกะโตมิ” ที่มีความโดดเด่นตรงวิถีของชุมชน หมู่บ้านที่นี่จะมุงหลังคาบ้านด้วยกระเบื้องดินเผาสีแดงเรียงรายกันอย่างน่าทึ่ง เป็นวิธีการสร้างบ้านแบบดั้งเดิมที่สืบทอดต่อกันมา ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวคือตั้งแต่เดือนเมษายน–พฤศจิกายน อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ท่องเที่ยวแบบสบายๆ รายล้อมด้วยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ในอ้อมกอดของโอกินาว่า
ตัวเลือกมากมายขนาดนี้ เห็นทีต้องหาเวลาชาร์ทแบตให้กับตัวเองเสียแล้ว เพราะใน 1 ปี สามารถเที่ยวญี่ปุ่นได้โดยไม่ซ้ำกัน หาเวลาว่าง แพคกระเป๋าไปลัลลาที่แดนอาทิตย์อุทัยกันดีกว่า
บทความนี้เป็น Advertorial